Olympus E-P1 : ชัยชนะของหัวใจเหนือสมอง

อย่างที่เรารู้กันว่าสมองซีกซ้ายเป็นส่วนที่ควบคุมร่างกายซีกขวา และความคิดเรื่องตรรกะและเหตุผล ส่วนสมองซีกขวาควบคุมร่างกายซีกซ้ายและเรื่องของอารมณ์ แต่ไม่รู้ว่าหัวใจมาอ้างสิทธิ์การครอบครองการใช้อารมณ์เมื่อไหร่เหมือนกัน เราเลยมักจะได้ยินการเปรียบเทียบการใช้เหตุผลต่อสู้กับอารมณ์ว่าเป็นเรื่องของสมองกับหัวใจ หรือว่าภาพสมองสองซีกทะเลาะกันมันดูไม่โสภาและไม่น่าจะมีใครชนะก็ไม่รู้สิ?

ตัวผมเป็นคนถนัดซ้ายที่ถูกบังคับมาแต่เด็กให้เขียนหนังสือมือขวาจนเกิดเป็นความถนัดสองมือแบบเอียงซ้าย และเป็นคนทำงานสายศิลปะที่มีระเบียบวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ ความแตกต่างที่ดูเหมือนจะขัดแย้งนี้ทำให้การตัดสินใจหลายครั้งในชีวิตของผมเป็นผลลัพธ์จากการปะทะกันระหว่างสมองกับหัวใจอย่างรุนแรงโดยผลัดกันเป็นฝ่ายชนะ

ต่อไปนี้คือเรื่องราวเกี่ยวกับชัยชนะของหัวใจครั้งหนึ่งที่ผมอยากจะบันทึกไว้

ใครก็ตามที่รู้จักผมมาได้สักพักจะทราบว่า ผมใช้เวลาเยอะมากในการตัดสินใจซื้อกล้องสักตัว ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลจากเว็บรีวิวหลายสำนัก ทดลองเล่นตัวจริงตามร้านกล้องหรือหยิบยืมมาใช้ ถ่ายรูปเอาไฟล์มาเปิดดู โหลดโบรชัวร์หรือคู่มือมาทำความเข้าใจฟังก์ชั่นและการควบคุม เมื่อมั่นใจว่าจะซื้อตัวไหนแล้ว ก็ยังต้องดูสภาพตลาดเพื่อเก็งว่าจะมีการปรับลดราคาในเวลาอันใกล้หรือไม่ เพื่อจะได้ซื้อในเวลาที่เหมาะสมที่สุด

ตลาดกล้องดิจิทอลทุกวันนี้ช่างแสนซับซ้อน แต่ละยี่ห้อมีกล้องหลายตระกูลสำหรับผู้ใช้งานแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ออกรุ่นใหม่มากกว่าหนึ่งครั้งต่อปี และเพิ่มเทคโนโลยีที่เป็นจุดขายประจำช่วงเวลานั้นๆ เช่น กันสั่น, ตรวจจับใบหน้า, เพิ่มความไวแสง เป็นต้น การตัดสินใจเลือกซื้อกล้องสักตัวสำหรับคนที่เต็มไปด้วยข้อมูล และไม่หวั่นไหวไปกับการโฆษณาด้วยพรีเซนเตอร์อย่างผม จึงเป็นเรื่องของข้อเท็จจริงและเหตุผล มีอารมณ์หรือความรู้สึกมาเกี่ยวข้องน้อยมาก ความหมกมุ่นตรงนี้อาจจะกินเวลาต่อเนื่องนานเป็นเดือน จะว่าเป็นความจู้จี้ส่วนตัวก็ได้

ตั้งแต่มีการประกาศข่าวเกี่ยวกับระบบ Micro Four Thirds (m4/3) เมื่อปี 2008 พร้อมกับการเปิดตัวของกล้อง Panasonic Lumix G1 และ Olympus ที่เอา concept model หน้าตาน่าเอ็นดูวางอยู่ในตู้โชว์ ความหวังของผู้รักการถ่ายภาพหลายคนที่อยากได้กล้องตัวเล็กแต่คุณภาพดี และมีความยืดหยุ่นในการเปลี่ยนเลนส์ก็เป็นจริง ผมเฝ้ารอให้ Olympus เปิดตัวกล้องตัวเล็กน่ารักนี้อย่างใจจดใจจ่อ จนกระทั่งเมื่อกลางปีที่ผ่นมา Olympus E-P1 หรือที่ผมชอบเรียกว่า “อีเพ็ญ” ซึ่งมีที่มาจากการที่ Olympus ทำการปลุกผี เอาแนวทางการออกแบบกล้อง half frame ตระกูล Pen ที่โด่งดังในยุค 50 มาใช้อีกครั้ง ก็เปิดตัวออกมาสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลก

ความรู้สึกแรกที่ได้เห็นภาพบนเว็บคือ “ตกหลุมรัก” เป็นความรู้สึกที่หายไปจากชีวิตที่พ้นวัยรุ่นมาพักใหญ่ของผมนานมากจนลืมไปแล้ว เหมือนกับเห็นสาวคนหนึ่งแล้วปิ๊งทันที หัวใจเต้นแรง อยากเข้าไปทำความรู้จัก โดยที่ไม่รู้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับตัวเธอเลย ใครจะไปคิดว่าในยุคที่กล้องดิจิทอลเป็นสินค้าสามัญที่มีเกลื่อนตลาดแบบทุกวันนี้จะมีผลิตภัณฑ์ที่เรียกความรู้สึกนี้จากผู้บริโภคได้แรงขนาดนี้ สำหรับผม การตกหลุมรักครั้งนี้มีผลกระทบจิตใจรุนแรงไม่แพ้ครั้งแรกที่ผมเห็น iMac รุ่นแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อน!

ผมไม่พลาดที่จะไปชมงานกล้องที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เพื่อไปลองจับ “อีเพ็ญ” โดยเฉพาะ แต่การพบกันครั้งแรกกลับไม่น่าประทับใจนัก ผมวางกล้องลงก่อนเดินจากมาพร้อมกับคำถาม…

  • ทำไมตัวใหญ่กว่าที่คิด?
  • ทำไมจอความละเอียดต่ำจัง? (เมื่อเทียบกับกล้อง SLR หรือคอมแพคชั้นดีบางรุ่น)
  • ทำไมโฟกัสไม่แม่น แล้วยังไม่มีไฟช่วยโฟกัสอีก?
  • น่าเสียดายที่ไม่มีแฟลช

แม้ว่าจะหลงสเน่ห์ของอีเพ็ญขนาดไหน ผมก็บอกตัวเองและบอกทุกคนที่ถามความเห็นของผมว่า “ยังไม่ซื้อ รอให้ถึงรุ่นสองหรือสามก่อน” แต่รอบตัวผม มีเพื่อนฝูงและคนรู้จัก ซื้ออีเพ็ญมาใช้หลายคนมาก คำยุยงรอบด้านทำให้ผมต้องข่มใจต้านกิเลสอยู่นาน

เวลาผ่านไป… Panasonic เปิดตัว GF1, กล้อง m4/3 ที่ออกมาปะทะกับอีเพ็ญโดยตรง พร้อมกับสเปคที่เร้าใจ มีอะไรหลายอย่างที่อีเพ็ญไม่มี เรียกว่าตั้งใจกำจัดจุดอ่อนมาเต็มที่ ด้วยความที่ผมชื่นชอบกล้องตระกูล LX ของค่ายนี้มากอยู่แล้ว เมื่อได้เห็นการออกแบบของ GF1 ที่พัฒนาต่อยอดจาก LX3 อย่างชัดเจน ก็ตั้งหน้าตั้งตารอจน GF1 ออกสู่ตลาดแล้วไปลองเล่นดูที่ร้าน ซึ่งผลก็เป็นเหมือนที่เว็บรีวิวต่างประเทศที่น่าเชื่อถือหลายสำนักว่าไว้ นั่นคือ แม้ E-P1 จะให้ภาพ JPEG สดจากกล้องที่คุณภาพดีกว่า แต่ข้อดีของ GF1 ก็มีน้ำหนักไม่น้อย เช่น

  • การประกอบบึกบึนกว่า
  • จอคุณภาพดีกว่า
  • โฟกัสแม่นกว่า เร็วกว่า เงียบกว่า
  • การจับถือเหมาะมือกว่า ให้ความรู้สึกจริงจังกว่า
  • การควบคุมที่ถูกใจคนคุ้นเคยกับการใช้กล้อง SLR มากกว่า

ฟังดูเหมือนกับว่า ถ้าตัดสินใจด้วยเหตุผล ผมก็ควรจะซื้อ GF1 ไม่ใช่ E-P1 ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลอันแสนจะ subjective คือ “อีเพ็ญหล่อกว่า” ส่วนเหตุผลที่มีเหตุผลจริงๆ ก็คือ “GF1 ราคาแพงกว่า” และ “รอ E-P2 ดีไหม? มันคงจะลงตัวกว่านี้”

การปะทะกันระหว่างสมองกับหัวใจครั้งนี้ กินเวลาของชีวิตผมไปเยอะมาก แต่จุดตัดสินใจคือข้อความบน Facebook ของคุณลูกค้าท่านหนึ่ง (ที่อาจจะรำคาญอาการเวิ่นเว้อของผมเต็มกลืนแล้ว) ที่ว่า

ความเห็นผมนะ..เทคโนโลยี มีสองแบบคือไม่ 1. ยังไงก็วิ่งตามไม่ทัน ก็ 2. มีเงินซื้อเมื่อไรก็ได้ที่ดีกว่า เหมือน pixel อ่ะ แต่ความงามมันเป็นคลาสสิก ใช้แล้วเท่ เก็บไว้ก็มีคุณค่า คุณวีร์มีกล้อง SLR ไว้ถ่ายรูปแบบโปรแล้วนิ อย่าคิดมาก

หากเจ้าของข้อความนี้กำลังอ่านอยู่ โปรดรู้ไว้ว่าคุณคือคนที่ทำให้ผมตัดสินใจซื้ออีเพ็ญ 😀

อยากจะบอกว่า…อ่านแล้วเหมือนได้ตรัสรู้! รู้สึกเหมือนโดนตบหัวหนึ่งป้าบ เราทำงานเกี่ยวกับการสร้างสิ่งสวยงามเสียเปล่า ทำไมไม่คิดถึงเรื่องความงาม ความเท่เสียบ้าง! ซื้อ GF1 ก็เหมือนมีพ่อของ LX3 มาอยู่ที่บ้านน่ะสิ ไม่เบื่อหรือไง?

ผลจากการใช้งานในหนึ่งเดือนกว่าเป็นอย่างไร เดี๋ยวจะมารีวิวอีกที

3 Responses to “Olympus E-P1 : ชัยชนะของหัวใจเหนือสมอง”

  1. สวยพี่ ซื้อมาแล้วหรอ ผมโครต ชอบเลยรุ่นนี้ เก็บตังง ก่อนๆ ๕๕๕

  2. ผมเห็นตัวที่โชว์งาน Photo Fair คู่กันเลนส์อะไรไม่รู้ ดู classic สวยดีครับ คล้ายๆ รูปที่คุณวีร์ลงไว้ เข้ากันมากเลยครับ ผมได้จับทั้ง 2 รุ่นแล้ว ชอบ GF1 มากกว่าครับการวางปุ่มต่างๆ หลังกล้องใชง่ายดี เพราะคุ้นกับ Panasonic มานาน สั่งงานได้เร็วกว่า รอรีวิวนะครับ

  3. Beerbood Says:

    July 24th, 2010 at 03:20

    ว้าว อ่านแล้วตื้นตันเลยค่ะ ตัดสินใจตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่า EPEN แน่นอนค่ะ ด้วยเหตุผล ชัยชนะของหัวใจล้วน ๆ

Leave a Reply

You must be logged in to post a comment.