ผมเป็นเด็กสยาม พ่อเป็นเด็กพระรามสี่

“ผมเป็นเด็กสยาม”

ราวสามสิบปีก่อน ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่รู้ความ คุณแม่พาผมนั่งเบาะเด็ก ติดรถไปร้านขายเสื้อผ้าของแม่ที่สยามเซ็นเตอร์ ที่นั่น, ผมได้รู้จักกับเพื่อนๆ ของคุณแม่ ที่เป็นเจ้าของร้านข้างเคียง, พนักงานร้านอาหารไฮไลท์ บนชั้นสี่ เครือเดียวกับนิวไลท์ ในสยามสแควร์

ยี่สิบกว่าปีก่อน ตอนเริ่มเดินได้และซุกซน ผมหกล้มในร้านของคุณแม่ในสยามเซ็นเตอร์เพราะเต้นตามเพลงแรงไปหน่อย หัวแตก ต้องเย็บหลายเข็ม เป็นแผลเป็นอยู่บนหน้าผากถึงทุกวันนี้

สิบกว่าปีก่อน ผมก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่ชอบมาเดินเที่ยว ดูหนัง เรียนพิเศษ ในสยามสแควร์ มีเพื่อนบางกลุ่มมีร้านประจำ โต๊ะประจำในสยามสแควร์ ชอบเข้าร้านหนังสือบนเวิร์ลดเทรด จนเมื่อเป็นนิสิตจุฬาฯ ก็ยังใช้เวลาว่างในสยามสแควร์ และฝึกงานกับค่ายเพลงแห่งหนึ่งในสยามสแควร์

สิบปีผ่านไปหลังจากเรียนจบ ผมยังนิยมแวะเวียนไปสยามสแควร์ ไปซื้อเพลงจากร้านเดิมที่เคยอุดหนุนกันมาตั้งแต่เป็นนักเรียนมัธยมปลาย

วันนี้ตอนที่ได้ยินข่าวผู้ชุมนุมเริ่มเผาโรงหนัง และห้างสรรพสินค้า ภาพความทรงจำเก่าๆ พรั่งพรูเข้ามาตีกันอยู่ในสมอง พร้อมกับที่สายตาจับจ้องภาพกลุ่มควันที่กำลังพวยพุ่งอยู่เหนือฟ้ากรุงเทพผ่านกระจกรถที่กำลังวิ่งอยู่บนทางด่วน ความสะเทือนใจนี้ทำให้ผมเริ่มน้ำตาไหล ตลอดช่วงเวลาร่วมสามสิบปี ผมย้ายที่เรียน ย้ายที่ทำงาน ย้ายบ้านมาหลายครั้ง แต่สยามสแควร์ก็ยังอยู่ตรงนั้น ยังเป็นที่ที่ผมยังต้องไป แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับสยามสแควร์จะเปลี่ยนรูปแบบไปในแต่ละช่วงชีวิตก็ตาม ยิ่งได้รับรู้ความเสียใจ และเสียดาย ของผู้คนอีกมากมายที่มีความผูกพันกับสถานที่แห่งนี้ ก็ยิ่งทำให้จิตใจหดหู่

ผมคิดว่านั่นคงเป็นเรื่องที่ทำให้ผมสะเทือนใจที่สุดในวันนี้แล้ว จนกระทั่งคุณพ่อโทร.มาหาขณะผมกำลังฝ่ารถติดกลับบ้าน เพื่อแจ้งข่าวว่าตึกแถวที่ปัจจุบันนี้เป็นสาขาย่อยของธนาคารแห่งหนึ่ง บนถนนพระรามสี่ ในบริเวณพื้นที่ที่เกิดการปะทะ ถูกเผาวอดหมดแล้ว

มันคงไม่ได้สะเทือนใจอะไร ถ้าตึกแถวนั้นไม่ได้เคยเป็นบ้านของคุณพ่อและพี่น้องอีกรวม 8 คน

มันคงไม่ได้สะเทือนใจอะไร ถ้าตึกแถวนั้นไม่ได้เคยเป็นร้านค้าที่คุณปู่กับคุณย่าของผมริเริ่มธุรกิจของครอบครัวขึ้นมา

มันคงไม่ได้สะเทือนใจอะไร ถ้าพ่อไม่ได้โทร.แจ้งข่าวนี้กับผม โดยที่ยังเรียกชื่อร้านค้านั้น ร้านที่พ่อได้ช่วยกับปู่ย่าและพี่น้องสร้างรากฐานให้ครอบครัวของเรา

เมื่อผมกลับถึงบ้าน พ่อก็ยังพูดถึงเรื่องนี้ ทั้งที่ท่านก็ย้ายออกมาจากที่นั่นมาตั้งแต่ก่อนผมเกิด ทั้งที่ตึกแถวแห่งนั้นก็ได้ปล่อยให้คนอื่นเช่ามานานมากแล้ว เคยเป็นร้านเช่าวีดีโอ เคยเป็นเซเว่น จนกลายเป็นธนาคารไปแล้ว แต่สำหรับท่าน มันก็ยังเป็นบ้าน เป็นร้านค้าที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งเติบโตขึ้นมากับมัน เป็นกิจการแรกที่จะกลายเป็นรากฐานให้ครอบครัวของเรา ผมได้แต่ไม่แสดงถึงความสะเทือนใจ แล้วบอกท่านว่าตอนนี้ที่นี่คือบ้านของเรา ครอบครัวก็อยู่กันพร้อมหน้าที่นี่ บริษัทของเราก็ไม่ได้อยู่ที่นั่น ฯลฯ แต่ทั้งหมดนั้นคงช่วยอะไรไม่ได้มากหรอก อะไรจะมาทดแทนความผูกพันในช่วงชีวิตหนึ่งของท่านกับตึกแถวแห่งนั้นได้?

ผมเห็นสีหน้าหดหู่ของพ่อแล้วนึกถึงภาพถ่ายขาวดำเก่าๆ ของเด็กหนุ่มคนหนึ่งกับพ่อแม่และพี่น้อง นึกถึงคุณปู่ที่ต้องไปออกกำลังกายที่สวนลุมทุกเช้า คุณย่าที่แม้จะย้ายบ้านมาอยู่อีกที่หนึ่งแล้วก็ยังอยากกลับไปจ่ายตลาดที่คลองเตย นึกถึงภาพการรวมญาติทานอาหารในวันตรุษจีนที่ผมเคยไปร่วมตอนเด็กๆ ความสะเทือนใจของผมคงเทียบกับสิ่งที่พ่อกำลังรู้สึกอยู่ไม่ได้จริงๆ ผมเพิ่งตระหนักว่าท่านจะสะเทือนใจขนาดไหนกับข่าวการปะทะกันบนถนนพระรามสี่ตลอดช่วงที่ผ่านมา

“พ่อเป็นเด็กพระรามสี่”

One Response to “ผมเป็นเด็กสยาม พ่อเป็นเด็กพระรามสี่”

  1. เราอ่านแล้วน้ำตาไหลเลย

    ความรู้สึกผูกพันกับสถานที่เก่าแก่และมีความหมายกับชีวิตเราเป็นสิ่งที่มีประเมินเป็นตัวเงินไม่ได้

    ขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสียอาคารเก่านั้นด้วยนะ

Leave a Reply

You must be logged in to post a comment.