ปั่นไปบางปู

ผมเริ่มขี่จักรยานเพราะเอือมระอาการเสียเวลาของชีวิตไปกับการขับรถให้คลานไปบนถนน ภาระในการวนหาที่จอด และอยากหาเรื่องออกกำลังกาย บวกกับมีแรงเชียร์จากคนรู้จักรอบตัว จักรยานคันแรกและคันเดียวในตอนนี้ของผมเป็นจักรยานพับได้ ยี่ห้อ Dahon รุ่น Archer P8 ซึ่งเป็นสเปคจีนของ Speed P8 เหตุที่เลือกซื้อจักรยานพับเพราะอยากใช้จักรยานร่วมกับการเดินทางวิธีอื่น เช่น ขับรถไปจอดแล้วขี่จักรยานต่อ หรือขี่จักรยานไปใช้บริการขนส่งมวลชน จากความตั้งใจแรกเริ่มที่จะมีจักรยานไว้แค่ขี่ในเมือง ผมจึงเริ่มขี่จากบ้านไปวิ่งที่สวนตอนเช้า, ขี่จากบ้านไปขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงาน, ขี่จากที่ทำงานกลับบ้าน ความซ่า ความคึก เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีเพื่อนชวนให้ปั่นระยะทางไกลขึ้น พอดีเพื่อนก้อง (ทรงกลด บางยี่ขัน) แห่งนิตยสาร a day กำลังมีโครงการปั่นจักรยานทั่วประเทศ ทำให้ต้องฟิตซ้อมเตรียมทีมโดยออกมาปั่นกันบ่อยๆ ผมเข้ามาแจมกับกลุ่มของ a day ครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2555 ปั่นจากบ้านผมไปรวมกลุ่มบนถ.พัฒนาการ จนถึงสวนหลวงร. 9 แล้วแยกตัวออกมาปั่นไปหาหมอที่โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ ก่อนกลับบ้าน รวมระยะทางได้ประมาณ 40 กม. ยอมรับว่าตอนต้องปั่นตามกลุ่มรู้สึกลำบาก เนื่องจากรถล้อเล็กกว่าเพื่อน แต่ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงนัก

ถัดมาอีกหนึ่งสัปดาห์ ในวันเสาร์ที่ 14 ม.ค. 2555 ชาว a day มีแผนจะปั่นไปบางปู รวมระยะทางไป-กลับ 80 กว่ากม. ผมนั่งอ่านเส้นทางแล้วไม่มั่นใจว่าจะทำได้ นอกจากเส้นทางไม่คุ้นเคย ทักษะยังไม่มาก แล้วรถยังไม่อำนวยอีกด้วย นอร์ธ, เพื่อนที่คอยให้คำแนะนำเรื่องจักรยานมาตลอด เสนอว่าจะให้ยืมจักรยานเสือหมอบ แต่ไม่มีเวลาจะทำความคุ้นเคยก็เลยปฏิเสธไป และอยากลองตั้งโจทย์โหดๆ กับตัวเองซักครั้ง ก้องก็บอกว่า “ทริปนี้เราปั่นกันชิวๆ ไม่ต้องกังวล” เลยพอจะใจชื้นขึ้นบ้าง แต่ยังไม่ทันได้สบายใจ ก้องก็บอกว่า “นัท จาก be>our>friend จะไปด้วยนะ” เอาล่ะสิ… เท่าที่ผมมีข้อมูล นัทและปอม ไม่มีทางปั่นชิวๆ ไปกับชาว a day ได้หรอก! คืนนั้นผมส่งข้อความไปทักทายนัท ชวนให้ก้องกับนัทเปิด Find My Friends แอพที่เอาไว้หาพิกัดเพื่อน เพราะยังไม่เคยลองใช้จริงจังซักที ก่อนเข้านอนด้วยใจระทึก

เช้าวันที่ 14 ม.ค. ผมตื่นขึ้นมาทานข้าวต้มรองท้อง ก่อนปั่นออกไปรอกลุ่ม a day ที่ BTS อ่อนนุชตอน 7 โมงเช้า ระยะทางจากบ้านผมมา BTS อ่อนนุช ใกล้กว่าจากออฟฟิศ a day แถวเอกมัยมา BTS อ่อนนุชประมาณ 3 กม. ขอย่นระยะนิดนึงก็ยังดี ลองกด Find My Friends ดู พบว่าก้องกับนัทอยู่ด้วยกันแล้ว ซักพักก้องก็โทร.มาบอกว่ากำลังจะเคลื่อนขบวน ไม่กี่อึดใจผมก็เห็นกลุ่มจักรยานอยู่ในระยะสุดสายตา โบกมือทักทายกันแล้วก็รีบปั่นเข้ากลุ่มตามไป วิ่งตามเส้นสุขุมวิทมุ่งหน้าแยกบางนา ตอนติดไฟแดงผมได้ทักทายกับเพื่อนร่วมทางซึ่งส่วนใหญ่เคยเจอกันในคราวที่แล้ว ครั้งนี้มากัน 13 คัน จักรยานพับ ล้อ 20″ ของผมเป็นน้องเล็กอยู่คนเดียว โดนแซว่า “วันนี้ซอยยิกแน่” ก็แหงสิ!

จากแยกบางนา เลี้ยวเข้าซอยลาซาล เจอการขุดถนนที่ต้องยกรถข้ามแอ่งน้ำ ชะงักกันไปนิดหน่อย ก่อนจะเข้าสู่ถนนศรีนครินทร์ ผมพยายามปั่นให้ทัน ไม่อยากให้ตัวเองเป็นตัวถ่วง ช่วงเช้าแรงยังมีก็เร่งตามไป พอถึงแมคโคร ถ.ศรีนครินทร์ รถของแตงโมยางแตก ได้ข่าวว่าทริปที่แล้วก็แตก พวกเราก็มะรุมมะตุ้มกันช่วยเหลือ บางคนมียางอะไหล่ บางคนมีอุปกรณ์ ผมเริ่มนึกหวั่นในใจว่าถ้าตัวเองยางแตกจะทำยังไง คงไม่มีใครเตรียมยางอะไหล่ขนาด 20″ มาแน่ๆ งั้นภาวนาอย่าให้แตกแล้วกัน เมื่อไม่ถึงสิบวันก่อนเพิ่งแตกมา คงไม่ซวยมาแตกซ้ำวันนี้ จริงๆ มีปาล์มคอยขับรถเก๋งพร้อมน้ำและผ้าเย็นซัพพอร์ทอยู่ เลวร้ายที่สุดก็ไปช่วยเขาขับรถวะ ถึงหมู่บ้านสวนธน ได้พักอีกรอบให้ช่างซ่อมจักรยานขาเดียวดูรถของแตงโม จากนั้นว่ิงผ่านอบต.บางแก้ว ชอบวิวสระบัวมากเลย

เราถึงจุดพักทานอาหารมื้อ brunch ที่วัดบางพลีใหญ่ใน (หลวงพ่อโต) ตอนประมาณ 10 โมง จอดรถผูกกันเป็นพวงๆ ฝากพี่ร้านกาแฟช่วยดูให้ เลยได้อุดหนุนกันคนละแก้ว ผมนั่งทานก๋วยเตี๋ยวกับนอร์ธ, นัท และปอม เราคุยกันถึงทริป “ปั่นตะลุย” มวกเหล็กวันที่ 22 ม.ค. เป็นโปรแกรมที่น่าสนใจมาก ตอนที่นั่งคุยกันยังมีคนมาลงทะเบียนไม่มาก สักพักปอมบอกว่าจะปั่นไปให้ถึงเร็วๆ ไปก่อนกลับก่อน เพราะไม่ได้เอาแว่นสายตามา มีแต่แว่นกันแดด กลัวว่าถ้ามืดแล้วจะลำบาก ผมรู้ตัวว่าไม่สามารถตามทั้งสามคนนี้ได้ทันแน่ๆ ขออยู่สายชิวกลุ่มหลังแล้วกัน

เราเริ่มปั่นกันต่อโดยมติที่ว่า “ต้องทำเวลา” แต่ความเร็วผมเริ่มตกเพราะแดดเริ่มร้อน มาถึงจุดพักถัดมาที่วัดบางปลาก็เกือบเที่ยง รถของปาล์มมาถึงพร้อมน้ำและผ้าเย็นบริการ ระหว่างที่นั่งชิวกัน ผมลองกด Find My Friends ก็พบว่านอร์ธ, นัท, ปอม ทิ้งห่างพวกเราไปไกลมากแล้ว เพราะสามคนนั้นไม่หยุดที่จุดพักนี้ ผมคุยกับพี่ๆ มอไซค์แถวนั้น เขาทักว่ารถผมเล็กนะ เอามาใช้เกินกำลังมันหรือเปล่า ผมว่าไม่ใช่เกินกำลังรถหรอก รู้สึกมันจะเกินกำลังผมเองด้วย

พักกันหายเหนื่อยแล้ว เอี่ยวก็เริ่มชี้แจงเส้นทาง “เดี๋ยวเราจะไปข้ามสะพานไม้แล้วปั่นเลียบคลองกันนะครับ” อืม…ฟังดูสวยงามดี พอมาเห็นสะพานจริงๆ ปรากฏว่า “ทำไมสะพานมันแคบจังวะ!?” จูงจักรยานข้ามกันเป็นแถวเรียงหนึ่งยังหวาดเสียว โคลงเคลงเหลือเกิน แล้วทางปูนที่ต้องปั่นเลียบคลองไปนี่มันก็ไม่ได้กว้างจนสวนกันได้ แถมยังมีหลุมบ่อ ลาดขึ้นลงอย่างไร้รูปแบบ แต่ตอนยืนตัวลีบหลบให้ชาวบ้านขี่มอไซค์ผ่าน ก็เห็นเขาวิ่งกันเหมือนไม่มีอะไร คงไม่ยากมั้ง พวกเราก็ค่อยๆ ปั่นตามๆ กันไป อ้าว มอไซค์ชาวบ้านมาอีกและ หลบๆๆๆ พอจะเริ่มปั่นอีกที ผมเริ่มลังเลตัวเอง กลัวจะเสียหลัก คิดอยู่ว่าจะจูงจักรยานไปดีกว่าไหม แต่ก็เอาวะ… แล้ว ทุก อย่าง ก็ เกิด ขึ้นในความรู้สึกอย่าง ช้า ช้าาา

เจอทางลาด…

พื้นไม่เรียบ…

เสียหลัก…

พยายามทรงตัว…

ยั้งไม่อยู่แล้ว…

ล้ม…

ตกคลอง!

ผมร่วงลงน้ำไปทั้งคนทั้งรถ เมื่อหัวโผล่พ้นน้ำก็สำรวจตัวเอง พบว่าขยับขาไม่ได้ เพราะจมอยู่ในโคลน แต่ไม่โดนอะไรทิ่มตำ ไม่รู้สึกเจ็บ สิ่งแรกที่พยายามรักษาไว้คือไอโฟนที่เมานท์ไว้กับแฮนด์ ส่งขึ้นไปให้เพื่อนที่อยู่บนสะพานก่อน จากนั้นก็ส่งรถให้เพื่อนๆ ช่วยยกขึ้นไปก่อนเพราะผมยังขยับขาตัวเองไม่ได้ กระเป๋าที่สะพายหลังอยู่มีกล้อง, กระเป๋าสตางค์ และอุปกรณ์จุกจิก แต่ไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่ คิดว่าน้ำน่าจะยังไม่เข้าไปมาก พอของทุกอย่างหลุดออกจากตัวแล้วจึงพยายามขยับขาสองข้างที่จมโคลนอยู่ แล้วตะกายขึ้นฝั่งที่บ้านชาวบ้านตรงนั้น ป้าเจ้าของบ้านบอกให้ไปล้างตัวในห้องน้ำหลังบ้านแกได้ สภาพตัวเองตอนนั้นคงน่าอนาถมาก เพราะตักน้ำหนึ่งขันราดตัวทีจะเห็นโคลนดำปี๋ไหลออกมานองพื้น ราดไปขันแล้วขันเล่าโคลนก็ไม่หมดซะที ระหว่างล้างตัวไปก็สำรวจร่างกายตัวเองเองว่าไม่มีบาดแผล ตามตัวระบมบ้าง นิ้วนางข้างขวาซ้น เดินออกมาหน้าบ้านอีกทีเห็นเพื่อนๆ ยืนเรียงรายกันพร้อมหน้า เลยหยิบกล้องออกมาถ่ายภาพพาโนรามาไว้เป็นที่ระลึก

ตอนจะเปิดกระเป๋าหยิบกล้องก็มีลุ้นนิดหน่อยว่าของข้างในจะเป็นอะไรไหม ปรากฏว่าแห้งสนิท! กระเป๋าที่ใช้คือ Timbuk2 รุ่น Catapult Sling Shoulder Bag มีจุดเด่นคือทรงแบนราบ และมีช่องที่ใส่ iPad ได้พอดี คิดถูกแล้วที่สะพายใบนี้มา

การตกน้ำของผมทำให้กลุ่มเราตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทาง มาคุยกันแล้วถึงได้รู้ว่านอกจากผมแล้วยังมีคนอื่นที่ไม่มั่นใจความปลอดภัยของสะพานปูนโมโตครอสนี้ มีหมีเพียงคนเดียวที่ผ่านไปแล้วก่อนใครอย่างปลอดภัย (แต่มาเล่าให้ฟังทีหลังว่าวิบากมาก) ผมเอากระเป๋าไปแขวนไว้หลังรถเอี่ยว เปลี่ยนเสื้อมาใส่เสื้อสำรองของโต เราปั่นกันไปตามทางที่ไกลกว่าเดิมแต่ไม่หวาดเสียว ถนนตรงยาวเลียบคลองที่มีสะพานให้ข้ามหลายอันทำให้ผมโดนทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งทุกคนก็ลับหายไปจากสายตา มองไปข้างหน้าก็ไม่มีใคร มองไปข้างหลังก็ไม่มีใครตามมา ผมจำได้ว่าข้างหลังผมยังมีปูอีกคน แต่ทำไมปูตามผมไม่ทัน? แล้วจะมีใครคอยปูหรือเปล่า? โทรศัพท์ก็ไม่อยู่กับตัวแล้ว ไม่น่าจะมีอะไรดีกว่าทนปั่นต่อไป เป้าหมายคือกลุ่มรถบรรทุกที่อยู่ข้างหน้า ไว้ถึงตรงนั้นค่อยถามดูว่าโดนทิ้งห่างไปไกลแค่ไหนแล้ว โชคดีที่พอพ้นกลุ่มรถบรรทุก ก็เจอเพื่อนๆ จอดพักกันอยู่ที่ศาลา นั่งรอซักพักเอี่ยวกับปูก็ตามมาถึง สรุปว่าเอี่ยวจะคอยปิดขบวนนั่นเอง

พอได้นั่งพัก ผมเลยหยิบไอโฟนออกมาลองใช้ดู เครื่องยังไม่ได้ดับไปตั้งแต่ก่อนตกน้ำ แต่เริ่มมีอาการไม่ปกติ โทร.หาร้านเจ้าประจำที่มาบุญครอง ได้รับคำแนะนำว่าให้รีบปิดเครื่องไปก่อน สภาพเครื่องตอนนั้นคือเอาคอทตอนบัดแคะขี้โคลนออกจากรูหูฟังแล้ว แต่เลนส์กล้องมีไอน้ำเกาะเต็ม ลองเช็คพิกัดของกลุ่มหน้าขาโหด ปรากฏว่าอยู่ระหว่างทางกลับกรุงเทพแล้ว! ยอมไม่ได้ล่ะ ยังไงก็ต้องไปให้ถึง ว่าแล้วก็ออกตัวปั่นกันต่อ จนออกมายังถนนใหญ่ วิ่งเลียบถนนเทศบาลบางปูไป ตามแผนการต้องเข้าแยกเทศบาลบางปู 118 เพื่อไปแวะชิว แต่ปรากฏว่าปั่นเลยป้าย เราจึงหยุดพักตรงจุดตรวจรถริมถนนใหญ่ รอให้ปาล์มซึ่งไปปูเสื่อและเตรียมอาหารรอแล้ว ขับรถมาหาพวกเรา ถึงจุดนี้ ปูขอถอนตัวถอดล้อ ยกจักรยานขึ้นรถเก๋ง เหลือผู้รอดตายอยู่ 9 คัน จากตอนเช้า 13 ระหว่างนั่งพักก็คุยกันเล่นๆ ว่าอยากจะเกาะสิบล้อซักคันพุ่งไป หรือไม่ก็จ้างเด็กแว้นลากไปคนละคัน ท่าจะเร็วดี (ตอนจะปล่อยต้องให้เหวี่ยงจะได้แซงไปเบรคเอี๊ยดหล่อๆ ด้วยนะ) เช็คกับกลุ่มหน้าขาแรง ทราบว่ากลับถึงบ้านแล้ว! พวกสายชิวอย่างเรายังไม่ถึงบางปูเลย… (ได้ไงวะ!!!) ว่าแล้วก็รวบรวมพลังฮึดปนแค้น ปั่นต่อไปจนถึงสถานตากอากาศบางปู เย่!

ผมจำไม่ได้แล้วว่าเคยมาที่นี่ครั้งแรกเมื่อไหร่ คลับคล้ายคลับคลาว่าไม่ต่ำกว่าสิบปีมาแล้ว แต่ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรแปลกใหม่ ตากล้องส่องนกนางนวล ครอบครัวนักท่องเที่ยว สาวบอร์ดกล้องหน้าเด้งชุดเป๊ะผิดปกติ ตัวละครแบบที่เห็นได้ตามแหล่งท่องเที่ยวก็มีครบหมด ผมแอบดีใจที่ในที่สุดก็มาถึง ไม่ถอดใจถอนตัวกลับตั้งแต่ตอนตกน้ำ ที่เคยแอบบอกตัวเองไว้ก่อนมาว่า “ถ้าปั่นทริปนี้ได้สำเร็จด้วยรถคันนี้ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว” ก็เป็นจริงอย่างที่คิดไว้ ปกติผมเป็นคนไม่ชอบถ่ายรูปตัวเองกับสิ่งบอกสถานที่แต่คราวนี้ขอซักหน่อยเถอะ 🙂

หลังจากเดินดูนกและถ่ายรูปเล่นกันสักพัก ก็ได้เวลาออกเดินทางไปหาที่ทานมื้อเย็น ตอนนี้ความเร็วผมตกลงอย่างเห็นได้ชัด วิ่งรั้งท้ายแบบเร่งไม่ขึ้น ขาก็เริ่มตึงแล้ว ต้องขอบคุณเอี่ยวที่คอยปั่นปิดท้ายขบวนไปด้วยกันจนถึงร้านอาหาร เราเลือกร้านริมทะเลชื่อ “สายลม” อาหารอร่อยใช้ได้ บริการรวดเร็วน่าประทับใจ ตอนอาหารเริ่มลง มีเพื่อนทักว่ามือผมสั่นมากตอนหยิบจานอาหารส่งต่อ แปลว่าร่างกายเริ่มจะฟ้องแล้ว ระยะทางที่ต้องปั่นกลับคือยี่สิบกว่ากิโล เริ่มเย็นแล้ว ทุกคนก็อยากรีบกลับก่อนมืดเกินไป ถ้าผมเป็นตัวถ่วงให้กลุ่มต้องถึงบ้านช้าลงคงไม่ดี ผมจึงตัดสินใจว่าจะขึ้นแท็กซี่กลับ ส่วนหนึ่งเพราะจะได้รีบเอาไอโฟนไปซ่อมด้วย เราจึงแยกกันที่ริมถนนใหญ่ ผมแอบเสียใจนิดๆ ที่ไม่สามารถลุยต่อได้ตอนขากลับ แต่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว แค่เห็นทุกคนยืนรอเรียกแท็กซี่ด้วยกัน สี่คันไม่ยอมไป ก็เกรงใจจะแย่ ถึงคันที่จะได้ขึ้น แตงโมยังมาช่วยผมยกจักรยานพับขึ้นแท็กซี่ด้วย ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องช่วยเลย ชื่นใจมากมาย

ก่อนทริปนี้ มีเรื่องไม่ดีที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับผมหลายเรื่อง มาขี่จักรยานก็ตกคลองแถมยังมีแววจะเสียไอโฟนอีก จริงๆ ผมควรจะจิตตกต่อเนื่องแบบดิ่งเหว แต่ก็ไม่เป็นอย่างนั้น พอออกแยกจากกลุ่มแล้วนั่งอยู่บนแท็กซี่ รถเริ่มติด มองเห็นเพื่อนๆ ปั่นแซงไปทีละคัน ผมก็อมยิ้มขึ้นมา นั่งนึกทบทวนภาพสโลวโมชั่นตอนจังหวะที่รู้ว่าตัวเองต้องตก ทบทวนความรู้สึกกลัวที่พุ่งปรี๊ดขึ้นมากระทันหัน ต่อสู้กับสติที่พยายามเข้ามาหยุดมัน ภาพที่เห็นเพื่อนทุกคนยืนรอผมเดินออกมาจากหลังบ้านตอนล้างตัวเสร็จ ความช่วยเหลือที่ทุกคนมอบให้ตลอดเส้นทาง 50 กว่ากิโลทำให้ผมรู้สึกอิ่มใจ โชคดียิ่งไปกว่านั้นคือแท็กซี่คันที่รับผมไปส่งบ้านเป็นคนที่คุยกันถูกคอมาก และให้ข้อคิดดีดีไว้หลายเรื่อง เมื่อถึงบ้านตอนประมาณหนึ่งทุ่มเศษ ผมรีบอาบน้ำแล้วพุ่งออกไปมาบุญครอง เอาไอโฟนไปซ่อมกับร้านเจ้าประจำ ที่ช่วยจัดการให้เครื่องกลับมาใช้การได้ตามปกติเหมือนเดิม เท่านี้ผมก็กลับบ้านนอนหลับสบาย

ท้ายที่สุด คำว่า “การเดินทางสำคัญกว่าจุดหมาย” ยังใช้ได้สำหรับทริปนี้ เพราะแม้ผมจะไปไม่ถึง แต่ก็ได้เรื่องราวจากการเดินทางครั้งนี้มากเกินคุ้ม ไม่คิดเลยว่าจะเขียนบันทึกปนเล่าเรื่องได้ยาวขนาดนี้ ลองอ่านดูเองยังอมยิ้มเลย 🙂

ขอขอบคุณ – ก้อง, หมี, โต, นัท, เอี่ยว, ปู, ปาล์ม, แตงโม, นัท, บุ๊ค, ปั้น, นอร์ธ, นัท, ปอม และพี่คนขับแท็กซี่

ไว้ถ้ามีเรื่องราวดีๆ จะกลับมาเล่าให้ฟังกันอีกครับ ดูรูปเพิ่มได้บน facebook

6 Responses to “ปั่นไปบางปู”

  1. ขอบคุณที่แชร์บันทึกสนุกดีครับ
    ผมพลาดไปเยอะเลยนะเนี่ย 😀

    อยากให้มาด้วยปั่นกันที่มวกเหล็กมากครับ

  2. อยากไปเหมือนกันครับ แต่ติดรวมญาติ ไว้โอกาสหน้านะครับ

  3. Golf Pongputt Says:

    January 18th, 2012 at 23:15

    ^______^ สู้ สู้ ครับ
    สิ่งแย่ๆ ผ่านไปแล้ว เดี่ยวก็จะมีแต่สิ่งดีๆ ตามมานะครับ
    สิ่งดีๆ สิ่งแรกคงเป็นเรื่องราวที่ได้อ่านจบไปนี่ละครับ

  4. ผมบุ๊คเองนะคับ พี่ ไม่รู้ว่าลืมกันแล้วหรืิอยัง ฺอยากไปปั่นด้วยกันอีกจังเลยคับ สนุกมากๆ

  5. วันดีคืนดีเจอกันอีกครับ

  6. เล่าให้ฟังซะเห็นภาพเลย เสียดายที่ตอนนั้นยังไม่ได้รู้จักกัน ไม่งั้นคงได้ไปร่วมแจมด้วย จำได้ว่าตอนที่เห็นโครงการฮิวแมนไรด์ตอนนั้นอยากจะดรอปเรียนไปด้วยเลยจริงๆ

Leave a Reply

You must be logged in to post a comment.